พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เป็นบุตรคนโตของ ขุนกนกเลขา (ทองดี) กับ นางนิ่ม เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2403 ตรงกับวันอังคาร แรม 4 ค่ำ เดือน 10 ปีวอก ที่บ้านเลขที่ 81 ตรอกไข่ ถนนบำรุงเมือง ตำบลหลังวัดเทพธิดา กรุงเทพ ฯ
การศึกษาวิชาสามัญนั้น มิได้เข้าเรียนที่โรงเรียนใด แต่เรียนที่บ้านตนเองจนอายุได้ 18 ปี สำหรับวิชาดนตรีไทย ได้เรียนปี่ชวากับ ครูชื่อ "หนูดำ" ซึ่งภายหลังได้เลิกเป็นครู ไปถือศิลอยู่ในถ้ำภูเขาทอง ส่วนวิชาดนตรีปี่พาทย์อื่น ๆ รวมทั้งปี่ใน ปี่นอก นั้น ได้ศึกษาอย่างจริงจังกับ ครูช้อย สุนทรวาทิน (บิดาของพระยาเสนาะดุริยางค์) จนบรรลุความแตกฉานเป็นเอตทัคคะทางดุริยางคศิลป์อย่างเยี่ยมยอดต่อมา
หน้าที่การงานของท่านเริ่มด้วยการเข้ารับราชการครั้งแรกในกระทรวงนครบาล เป็นหมื่นทรงนรินทร์ เมื่อ พ.ศ.2417 ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดปีละ 16 บาท แต่อยู่ได้ไม่นาน ก็ลาออกครั้นต่อมาภายหลัง เมื่อสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5 มีพระประสงค์ให้นักดนตรีของวัดน้อยทองอยู่ซึ่งมีครูช้อย สุนทรวาทิน เป็นครู มีนายแปลก (พระยาประสานดุริยศัพท์) กับนายแช่ม (พระยาเสนาะดุริยางค์) เป็นศิษย์เอก เข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กเรือนนอกท่านจึงกลับเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่ง
ล่วงมาจนถึง พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงพระยศเป็นพระยุพราช ได้ทูลขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ จาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้นายแปลกเป็นที่ "ขุนประสานดุริยศัพท์" นับจากนั้นก็ได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์มาเป็นลำดับ จนได้เป็น "พระยาประสานดุริศัพท์" เจ้ากรมปี่พาทย์หลวง ในรัชกาลที่ 6 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2458 เรื่อยมาจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
ความรู้ความสามารถทางดนตรีไทยของพระยาประสาน ฯ นั้น นับได้ว่าเป็นเอกแห่งบรมครูของการสยามสังคีตได้ผู้หนึ่ง ครูจิตร เพิ่มกุศล นักดนตรีอาวุโส ในปัจจุบันซึ่งเคยรับราชการอยู่ในวงปี่พาทย์ ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ในรัชกาลที่ 5 หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "วงสมเด็จพระบรม ฯ" ซึ่งมีพระยาประสาน ฯ เป็นผู้ควบคุมวง เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า "ท่านถึงทุกเครื่อง" ที่ว่าถึงนั้น คือ ถึงพร้อมทั้งฝีมือ ความรู้ ปฏิภาณ ไหวพริบ ความเป็นครู และความเป็นศิลปิน อันหาได้ยากยิ่งในผู้อื่น
เมื่อครั้งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช ทรงจัดหาผู้เชี่ยวชาญการดนตรีไปร่วมแสดงงานมหกรรมฉลองครบร้อยปีของพิพิธภัณฑ์เมืองวิมปลี่ย์ ที่ประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2428 นั้น ท่านก็ได้รับเลือกไปด้วยในฐานะเอตทัคคะทางปี่และขลุ่ย ผลการบรรเลงเดี่ยวของพระยาประสาน ฯ เป็นที่พอพระราชหฤทัยของสมเด็จพระราชินีเจ้าวิคตอเรีย เป็นที่ยิ่ง ถึงกับทรงรับสั่งขอฟังการเป่าขลุ่ยเป็นการส่วนพระองค์อีกครั้งในพระราชวังบัคกิ้งแฮม การบรรเลงครั้งหลังนี้ สมเด็จพระราชินีเจ้าวิคตอเรีย ทรงลุกจากที่ประทับและใช้พระหัตถ์ลูบคอพระยาประสาน ฯ พร้อมทั้งมีรับสั่งถามว่าเวลาเป่านั้นหายใจบ้างหรือไม่ เพราะเสียงขลุ่ยดังกังวานอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดหายแม้ชั่วขณะ เป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนับเป็นเกียรติประวัติอย่างสูงแก่การดุริยางค์ไทย อันที่จริงมิใช่แต่ต่างเมืองจะยกย่องความสามารถของท่านแต่ฝ่ายเดียวก็หาไม่ ครูมีแขก (พระประดิษฐ์ไพเราะ) บรมครูทางดุริยางคศิลป์ ก็ยังปรารถว่า "นายแปลก เป่าปี่ดีนัก ทำอย่างไรจึงจะได้ฟัง" ครั้นความทราบถึงพระยาประสาน ฯ ท่านก็รีบนำปี่ไปกราบ และเดี่ยวเพลงทยอยเดี่ยวให้ครูมีแขกฟัง เมื่อจบเพลง ครูมีแขก ชมว่า "เก่งไม่มีใครสู้"
ครั้งหนึ่งมีการซ้อมดนตรีของวงวังบูรพาภิรมย์ พระยาประสาน ฯไปร่วมตีกลองอยู่ด้วยเสียงกลองนั้น ทำให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช ท่านเจ้าของวังรับสั่งถามว่าใครตีกลอง เมื่อทรงทราบว่าเป็นพระยาประสาน ฯ ถึงกับทรงอุทานว่า "ไม่ใช่คนนี่ ไอ้นี่มันเทวดา" ทั้งนี้เพราะเสียงกลองที่ท่านตีนั้นไพเราะจับใจถูกอารมณ์ ถูกจังหวะของดนตรียิ่งนัก อันที่จริง พระยาประสาน ฯ ไม่ชอบการแต่งเพลงขึ้นมาใหม่เท่าใดนัก ท่านเคยกล่าวไว้ว่า "เพลงของเก่าเพราะ ๆ ยังมีอีกมาก" แต่ในสมัยนั้นมักมีการประชันวงปี่พาทย์ ระหว่างวังระหว่างบ้านอยู่เป็นนิจ พระยาประสาน ฯ เองก็อยู่ในฐานะเป็นครูของวงหลวง จะอยู่เฉยไม่คิดประดิษฐ์เพลงให้ลูกศิษย์ ในขณะที่ครูของวงอื่นทำกันอยู่เป็นวิสัยกระไรได้
งานคีตนิพนธ์ของท่านเท่าที่รวบรวมได้มีดังต่อไปนี้ เชิดจีน 3 ชั้น พม่าห้าท่อน เขมรราชบุรี ลาวคำหอม ลาวดำเนินทราย เขมรทรงพระดำเนิน (เขมรกล่อมพระบรรทม) เขมรปากท่อ เขมรใหญ่ ดอกไม้ไทร ถอนสมอ ทองย่อน เทพรัญจวน นารายณ์แปลงรูป แมลงภู่ทอง สามไม้ใน อาถรรพณ์ คุณลุงคุณป้า พราหมณ์เข้าโบสถ์ ธรณีร้องไห้ มอญร้องไห้ แขกเห่ อนงค์สุชาดา วิเวกเวหา แขกเชิญเจ้า ย่องหงิด 3 ชั้น เป็นต้น
เป็นการเหลือวิสัยที่จะบรรยายความสามารถทางดนตรี ของคีตกวีเอกสยาม ท่านนี้ได้บริบูรณ์ ทว่ามีหลักการปรนัยอยู่อย่างหนึ่งว่าจะดูครูให้ดูศิษย์ ถ้าศิษย์ดีมีฝีมือ ครูก็จะยิ่งไปกว่าเป็นทวีคูณ ฉะนั้น เมื่อพิจารณาศิษย์ของพระยาประสาน ฯ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปคือ พระประดับดุริยกิจ (แหยม วีณิน) พระเพลงไพเราะ (โสม สุวาทิต) หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) หลวงบรรเลงเลิศเลอ (กร กรวาทิน) พระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี) อาจารย์มนตรี ตราโมท ครูเฉลิม บัวทั่ง เหล่านี้แล้ว ก็จะเห็นได้ว่า พระยาประสาน ฯ อยู่ในขั้น "เทวดา" สมพระดำรัสของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช เพียงไร
ในด้านชีวิตครอบครัว ท่านสมรสกับนางสาวพยอม ชาวจังหวัดราชบุรี มีบุตรธิดาทั้งสิ้น 11 คน ถึงแก่กรรมแต่ยังเล็กเสีย 6 คน เหลืออยู่เรียงลำดับได้ดังนี้
- หญิง ชื่อ มณี ประสานศัพท์ (มณี สมบัติ)
- หญิง ชื่อ เสงี่ยม ประสานศัพท์ (นางตรวจนภา พวงดอกไม้)
- หญิง ชื่อ ประยูร ประสานศัพท์
- หญิง ชื่อ ปลั่ง ประสานศัพท์ (ขุน บรรจงทุ้มเลิศ)
- หญิง ชื่อ ทองอยู่ ประสานศัพท์ (นางอินทรรัตนากร อินทรรัตน์)
พระยาประสานดุริยศัพท์ ล้มป่วยด้วยโรคชราและถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2467 (แต่ในทะเบียนประวิติข้าราชการสำนักพระราชวังลงไว้ว่า วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2467) สิริอายุได้ 65 ปี
ที่มาข้อมูลและภาพ
มหาวิทยาลัยมหิดล. (2552). ห้องสมุดดนตรีสมเด็จพระเทพรัตน์. [Online]. Available :http://thaimusic.li.mahidol.ac.th/musiclibrary/index.php?ac=hall_of_fame/hall_of_fame_dataperson&id=54&languages=th. [2553 ตุลาคม 11 ].
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น